ปวดหลัง (Back pain)

ปวดหลัง Back pain

อาการปวดหลังสามารถป้องกันได้ในบางสาเหตุ ร่วมกับการบริหารร่างกายป้องกันอาการปวดหลัง การรักษาในบางสาเหตุได้ผลมากน้อยเพียงไร ขึ้นอยู่กับปัจจัยส่งเสริมหลายๆประการ

ปวดหลังเป็นหนึ่งในอาการยอดฮิตของออฟฟิศซินโดรม ซึ่งเกิดจากการที่เรานั่งทำงานติดต่อกันนานๆ หรือต้องยืนนานๆ โดยเฉพาะคุณสาวๆ ที่ต้องใส่รองเท้าส้นสูงตลอดทั้งวันด้วยแล้ว ยิ่งเกิดอาการปวดหลังได้ง่าย ...
เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน..

อาการปวดหลัง ส่วนใหญ่มักเกิดได้จากหลายสาเหตุ การนั่งผิดท่า เช่น นั่งหลังโก่ง นั่งบิด แต่ถ้ามีอายุมากขึ้น อาจจากการเสื่อมสภาพของร่างกาย  การเสื่อมของข้อต่อกระดูกสันหลัง นั้นเริ่มเกิดขึ้นได้  ตั้งแต่อายุ 30 ปี  บางคนอาจมีอายุน้อยกว่านี้  ถ้าทำงานที่เกี่ยวกับการยกของหนัก แบกหาม ผลักดันสิ่งของอย่างต่อเนื่อง 

พฤติกรรมและภาวะเสี่ยง

  • เกิดจากการบิดหมุนตัว  ก้มหลังมากไป การนั่งผิดท่า เช่น นั่งหลังโก่ง นั่งบิด
  • นั่งทำงานในท่าเดิมเป็นระยะเวลานานๆ
  • ขับรถนานหรือระยะทางไกลๆ
  • มีอาการปวดหลังขณะยกของหนักหรือล้มก้นกระแทก
  • ก้มตัว แอ่นหลัง หรือบิดลำตัวแล้วมีอาการปวด
  • ปวดหลังร้าวลงขา มีหรือไม่มีอาการชา
  • ปวดหลังเมื่อต้องเดินนานๆ

โรคปวดหลังที่พบได้บ่อย แต่คนทั่วไปไม่รู้ว่าอันตราย

  • โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (herniated disc pulposus : HNP)
  • โรคกล้ามเนื้อหลังอักเสบเฉียบพลัน (acute lower back pain)
  • โรคกระดูกสันหลังเสื่อม (spondylosis)
  • โรคปวดสะโพกร้าวลงขา (sacroiliac joint dysfunction symptoms)
  • โรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (piriformis syndrome)
  • โรคกระดูกสันหลังเคลื่อน (spondylolisthesis)

ลักษณะอาการปวดหลัง

อาการปวดหลังแตกต่างกัน เช่น ปวดตื้อๆ  ปวดเสียดแทง  ปวดตุ๊บๆ  ปวดแบบหดรั้งกดรัด  ปวดร้าวลงขา ปวดหรือเจ็บจนไม่สามารถเคลื่อนไหวหลังได้ ก้มตัวไม่ได้เพราะเจ็บ โดยลักษณะอาการปวดนั้นมักขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค  บางคนเชื่อว่าการนอน จะช่วยลดการปวดหลังได้ ไม่ว่าการปวดหลังจะมีสาเหตุจากอะไรก็ตาม เรื่องการนอนนานๆ อาจไม่ได้ช่วยให้อาการปวดหลังดีขึ้นเสมอ  มิหนำซ้ำอาจทำให้หายช้าได้ด้วย

อาการปวดหลังช่วงล่างที่ต้องรีบพบแพทย์

  1. อาการปวดจะมากขึ้น ถ้าก้ม หรือยกของหนัก
  2. อาการอาจเป็นมาก  ถ้านั่งนานๆ
  3. การยืน เดิน  อาจทำให้มีอาการปวดเพิ่มขึ้น
  4. อาการปวดหลัง อาจเป็นๆ หายๆ บางวันหาย บางวันปวดมาก
  5. อาการปวดหลัง อาจเกิดร่วมกับอารมณ์ที่แปรปรวนได้
  6. อาการปวดหลัง อาจปวดร้าวไปที่สะโพก แก้มก้น ด้านหลังของโคนขา แต่จะไม่ร้าวลงต่ำกว่าระดับข้อเข่า
  7. อาการปวดหลัง อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย คือ ปวดร้าวลงไปต่ำกว่าระดับข้อเข่าไปถึงส้นเท้าปลายเท้าได้, อาจทำให้กำลังนิ้วเท้า ข้อ เท้า อ่อนแรง และมีอาการชาๆ ปลายเท้า  ภาวะเหล่านี้มักเกิดจากหมอนกระดูกสันหลังเลื่อนกดทับรากประสาทสันหลัง หรือเกิดเนื้องอกในช่องไขสันหลังได้
  8. อาการปวดหลังอาจมีอาการอย่างอื่นอีก  เช่น  มีไข้  หนาวสั่น  เหงื่อออกในเวลากลางคืน หรือมีน้ำหนักลดมากในช่วงเวลาสั้น

การรักษาอาการปวดหลัง

หลักการรักษามีอยู่ 3 วิธี ขึ้นกับการวินิจฉัยโรค และความรุนแรงของโรค คือ การรักษาทางยา  การรักษาด้วยวิธีไม่ใช้ยา (กายภาพบำบัด)  และการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด

การรักษาทางยา

มียาหลายประเภทที่จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้  คือ

  • ยากลุ่ม  Acetaminophen เช่น Paracetamol ใช้รักษาอาการปวดหลังได้ดี  โดยเฉพาะกลุ่ม  Nonspecific low back pain ผู้ป่วยกลุ่มนี้ใช้รักษา1-2 สัปดาห์ จะช่วยให้อาการปวดหายได้  แต่ถ้าใช้ยานี้ติดต่อกันนานๆ จะมีผลเสียต่อตับ ไต และเซลล์เม็ดเลือดในไขกระดูกได้
  • ยากลุ่มต้านการอักเสบ (Non steroid anti inflammatory drugs – NSAIDs) จะลดการอักเสบของข้อต่อ  กล้ามเนื้อหลัง  เอ็นข้อต่อ ตัวอย่างยาเช่น Ibuprofen, naproxen, piroxicam และอื่นๆ
  • ยากลุ่มนี้ถ้าใช้ติดต่อกันนาน จะมีผลเสียเช่นกัน เพราะจะทำลายเนื้อเยื่อตับ  ไต  และเซลล์เม็ดเลือดในไขกระดูก  ปกติใช้ได้ 2-3 สัปดาห์ อาการเจ็บปวดจะหายได้
  • กลุ่มยาเสพติดบางอย่าง เช่น Codeine, Morphine อาจใช้ได้เป็นครั้งคราว แต่ควรให้แพทย์สั่ง เพราะอาจติดยาได้ถ้าใช้บ่อยๆ
  • ยาคลายกล้ามเนื้อ  ช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อได้ จะลดอาการเจ็บปวดได้ดี
  • กลุ่มยาประเภทสเตอรอยด์  ซึ่งอาจใช้รับประทาน หรือชนิดฉีดเข้าไขสันหลัง ปกติยากลุ่มนี้ไม่ควรใช้ เพราะมีผลเสียต่อระบบต่างๆ ของร่างกายมาก จะต้องอยู่ในความดูและ สั่งการใช้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น.

การรักษาด้วยวิธีไม่ใช้ยา

การรักษาทางกายภาพบำบัด จะช่วยลดอาการปวดได้มาก  บางครั้งการรักษาด้วยวิธีกายภาพบำบัดอย่างเดียวสามารถช่วยลดความเจ็บป่วยโดย ไม่ต้องใช้ยารักษา

  • การใช้ความร้อนที่เหมาะสม  ความเย็นที่เหมาะสม  การนวด  ใช้ Ultra sound และการกระตุ้นด้วยไฟฟ้ากายภาพบำบัดจะรวมถึงการสอนให้ผู้ป่วยทำเองด้วย เช่น การยืดกล้ามเนื้อแขน ขา ลำตัว, การยกน้ำหนักที่เหมาะสม, การเดินหรือวิ่งตามอัตภาพ จะช่วยลดความเจ็บปวด และช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง  ข้อต่อมีพลังในการเคลื่อนไหวได้คล่องตัวด้วย
  • การใช้เครื่องพยุงหลัง หรือเข็มขัดรัดหลัง จะช่วยพยุงหลังลดการเจ็บปวดได้  ในกรณีที่หลังท่านไม่แข็งแรง  จะช่วยให้ท่านรู้สึกสบาย ผ่อนคลาย  แต่การใช้เครื่องพยุงนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อหลังลีบ ไม่มั่นคงแข็งแรง เพราะโอกาสที่จะบริหารกล้ามเนื้อหลังน้อย การใช้เครื่องพยุงหลัง ควรให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้สั่ง
  • การนวดดัดหลัง มีวิธีต่างๆ มากมาย ซึ่งทำโดยนักกายภาพบำบัด หรือ Chiropractor ผู้ทำต้องมีความระมัดระวัง บางรายหายดี แต่บางรายปวดมากขึ้น
  • การดึงหลัง จะมีประโยชน์ในผู้ที่ปวดหลัง และปวดร้าวลงขา กล้ามเนื้อหดเกร็ง  หมอนกระดูกสันหลังเลื่อน  บางรายได้ผลดี แต่บางรายปวดมากขึ้น
  • การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น โยคะ  อาจหายได้ แต่บางรายปวดมากขึ้น เพราะทำผิดท่า  การฝังเข็มบางรายได้ผล แต่ได้ผลในช่วงระยะสั้น เพราะไม่ได้รักษาต้นเหตุที่แท้จริง
ขอบคุณข้อมูลจาก ศ.เกียรติคุณ นพ. เจริญ โชติกวณิชย์ (https://www.soidao.go.th/km/index.php/2016-10-25-05-01-20/2016-11-05-08-39-20/76-low-back-pain)